ตอนที่ 18 ตะลุมบอน
ในกลุ่มชายหนุ่ม 4 คนที่ซ่อนตัวมากับเครื่องบิน ทุกคนไม่ได้พกอาวุธมา แต่ด้วยความศรัทธาที่มะห่ำมีต่อ 3 หนุ่มและความเป็นห่วงครอบครัวจึงพูดกับ พวก 3 นักเดินทางว่า “รีบจัดการพวกมันเลยลูกพี่”
จารุกรพูดกับมะห่ำว่า “อยากให้พวกเขายอมแต่โดยดี ไม่อยากให้มีใครต้องบาดเจ็บ”
ไอ้พี่เชิดได้ยินที่จารุกรพูด หัวเราะเสียงดังกว่าเดิม “ฮ่าๆๆ ขอพักหัวเราะแป๊บนะ ฮ่าๆๆ อยากจะหัวเราะให้ฟันเหยินออกมา พวกแกมาถึงนี่ รนหาที่ตายยังไม่รู้ตัว พวกเราในนี้มีอยู่ทั้งหมดยี่สิบกว่าคนพร้อมอาวุธครบมือ พวกแกมากันแค่ 4 คนเท่านี้ ยังจะปากดีอีก ช่างไม่รู้จักเจียมตัวบ้างเลยนะ ขอหัวเราะต่ออีกแป๊บฮ่าๆๆๆ ”
ไอ้พี่เชิดไม่ต้องการให้จารุกรเอาลูกน้องของตัวเองมาเป็นเครื่องต่อรอง พูดจบจึง ชักปืนที่เหน็บไว้ที่พุงขื้นมายกขึ้นเล็งที่หน้าอกนายดุ๊กแล้วยิงทันที กะว่ายิงนายดุ๊กเสร็จก็จะยิง 4 หนุ่ม แต่ยิงปืนไม่ออกเพราะว่าจารุกรได้ใช้พลังจิต ทำให้ไกด้าน ไอ้พี่เชิดยิงซ้ำอีกครั้ง ผลเหมือนเดิม คือยิงไม่ออก
นายดุ๊กหลับตาปี๋อยู่นึกว่าตัวเองคงจะต้องตายแน่แล้ว พอรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาและรู้ว่ายังไม่ได้ถูกยิงจึงร้องถามไอ้พี่เชิดว่า “พี่จะยิงผมทำไมเนี่ย”
ไอ้พี่เชิดโมโหที่ยิงปืนไม่ออก หันเดินไปสองก้าวเอี้อมมือไปกระชากดึงปืนยาว ออกจากมือลูกสมุนที่ยืนอยู่ด้านข้างเล็งไปที่นายดุ๊กอีก แล้วตอบว่า “แกมันทำงานพลาด ปล่อยให้ไอ้พวกนี้ตามมาได้ยังไง เดี๋ยวพวกตำรวจก็คงต้องแห่กันมาที่นี่”
“โธ่พี่ที่ผ่านมาผมก็ไม่เคยทำงานพลาดเลยนะ ช่วยพี่ทำงานสำเร็จทุกครั้ง พี่ไว้ชีวิตผมเถอะ นึกว่าเห็นแก่ลูกนกลูกกาตาดำๆ พี่ปล่อยผมจะได้บุญยิ่งกว่าปล่อยปลาปล่อยเต่าปล่อยปลาไหลคางคกจิ้งจกตุ๊กแกซะอีก นะพี่นะ นะนะ” นายดุ๊กดิ๊กพยายามพูดโน้มน้าวให้หัวหน้าโจรเห็นผลงานที่เคยทำมาด้วยกัน แถมยังยกเรื่องบุญกุศลเพื่อให้หัวหน้าคล้อยตาม
ตอนนี้จารุกรกระซิบที่ข้างหูนายดุ๊กบอกว่า “ไม่ต้องกลัวปืนยิงยังไงก็ยิงไม่ออก”
ไอ้พี่เชิดบอก “ทำพลาดครั้งเดียวก็เกินพอ ไม่ต้องพูดมากตายซะเถอะ” ว่าแล้วก็ยิงปืนใส่นายดุ๊กอีก ปรากฏว่ายิงกี่ทีกี่ทีก็ไม่ออก ไอ้พี่เชิดเดือดจัด "มันเป็นอย่างนี้ได้ยังไงวะ" พูดจบก็หันหลังไปสั่งลูกน้องทุกคนที่มีปืนให้ยิงทันที “เฮ้ยโว้ยฆ่าพวกมันให้หมด ไม่ต้องยั้ง"
พวกลุกสมุนไอ้พี่เชิดพร้อมใจกันทำตามคำสั่ง แต่ปรากฏว่าไม่มีปืนกระบอกไหนยิงออกเลยสักกระบอกเดียว ต่างมองปืนที่ตัวเองถืออยู่ในมือ พยายามจะสำรวจว่ามันมีอะไรเสียหรือผิดปกติ
จารุกร พูดขึ้นว่า “คราวนี้จะยอมแพ้กันได้หรือยัง”
หัวหน้าโจรร้องสั่งลูกน้องเข้าตะลุมบอนแทนคำตอบด้วยความโมโหสุดขีด “เฮ้ย พวกเราลุย” พลางเอาปืนยาวที่มีอยู่ในมือจับปากกระบอกปืนแล้วเดินเข้าหาจารุกร เตรียมฟาดที่หัว
จารุกรกระซิบข้างหูนายดุ๊กว่า “อยู่เฉยๆไม่ต้องกลัว พวกเราจะช่วยคุ้มครองให้เอง” พูดเสร็จก็พลักนายดุ๊กออกไปด้านข้าง ตัวเองก็หลบปืนยาวที่ฟาดมาไปพร้อมๆกัน
เหมือนถูกมนต์สะกด นายดุ๊กว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังอย่างดี คอยดูอยู่เฉยๆ ไม่ช่วยฝ่ายไหนเลย ตัวเองรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ ตามคำพูดของจารุกร ทุกอย่าง มันเหลือเชื่อที่ปืนทุกกระบอกจะยิงไม่ออกพร้อมๆกัน แล้วยิ่งไปกว่านั้น จารุกรรู้ได้อย่างไรว่าปืนจะยิงไม่ออก นายดุ๊กมีความรู้สึกเหมือนจารุกรและพวกเป็นเทวดา "เอาน่าเชื่อเทวดาน่าจะดีกว่าเชื่อโจร" นายดุ๊กคิดในใจ
ณ เวลานี้จึงเกิดฉากมวยหมู่ปะทะกันระหว่างพวกโจรและ 4 หนุ่มที่หนีตำรวจมาจากเมืองถุงเงิน มีเพียงนายดุ๊กดิ๊กเท่านั้นที่นั่งดูฉากบู๊อย่างเพลิดเพลิน แถมเอาข้าวโพดคั่วและน้ำอัดลมมาจากไหนก็ไม่รู้นั่งกินไปด้วย
มะห่ำถนัดใช้ความว่องไว หลบหลีก และต่อยเตะอย่างรวดเร็ว
รวินันท์ ถนัดใช้เตะรวดเดียวโดน 2 – 3 คน เตะบนเตะล่าง จรเข้ฟาดหาง
อุชุกร ถนัดใช้วิธีกระทบชิ่ง ถีบ เหวี่ยงหรือผลักคนหนึ่งให้ไปโดนอีกคนหนึ่ง
ส่วนจารุกร ใช้วิธีกระโดดขึ้นเหยียบทีละคน กระโดดไปกระโดดมาอยู่บนถีบบนหัวและไหล่ของเหล่าบรรดาสมุนโจร ดูดูไปเหมือนเดินและกระโดดอยู่บนพื้นดินไม่มีผิด
สมุนโจรทั้งหลายรวมทั้งไอ้พี่เชิด ประหลาดใจมากที่ถูกทั้ง 4 คนทำร้ายร่างกายจนสะบักสะบอมมีทั้งหัวโนตาปูดตาปิด ปากบวม แขนห้อย แข้งขาเดี้ยงไปหมด บางคนนอนกับพี้น บางคนเดินกระเผลก ส่วนใหญ่ยืนงงสงสัยทำอะไรไม่ถูก มีบ้างที่ต่อยลม เตะอากาศ มั่วไปหมด โดยที่ไม่มีใครทำอะไรทีมนักเดินทางได้แม้แต่นิดเดียว ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว ทั้งๆที่จำนวนคนก็มากกว่า
ระหว่างที่กำลังชุลมุนชุลเก และหัวหน้าโจรเห็นว่าฝ่ายของตนกำลังเพลี่ยงพล้ำเสียเปรียบอยู่นั้น นายดุ๊กดิ๊กอดไม่ได้ที่จะเข้าข้าง 4 หนุ่มได้โบกไม้โบกมือตะโกนบอกให้จารุกรซึ่งอยู่ที่สูงมองตามที่มือชี้ “ดูโน่น” มองเห็นไอ้พี่เชิดกำลังเดินย่องไปทางประตูห้องที่ดูเหมือนสำนักงานในโกดังคลังสินค้า จึงวิ่งตามไปโดยที่ไอ้พี่เชิดไม่ทันสังเกต จนทันตอนที่เปิดประตูพอดี ที่แท้ไอ้พี่เชิดเมื่อเห็นว่าพวกตัวเองสู้ไม่ได้จึงจะมาเอาตัวคนในครอบครัวนายมะห่ำซึ่งถูกขังอยู่ในห้องนี้มาเป็นเครื่องมือต่อรอง แต่ถูกจารุกร ขัดขวางไว้เสียก่อน
พอประตูเปิดเห็นลูกนายมะห่ำ 2 คนกำลังตั้งหน้าตั้งตาและตาตั้งหน้าตั้งเล่นวีดิโอเกมส์กันอยู่อย่างมันส์หยดติ๋งๆ ส่วนพ่อตาแม่ยายเมียและคนใช้กำลังกินปลาร้าส้มตำไก่ย่างข้าวเหนียวกันอย่างเอร็ดอร่อย เจ้เนเน่ได้ยินเสียงประตูเปิดจึงเหลือบมองมาที่ประตูเห็นจารุกรกำลังกระชากคอเสื้อไอ้พี่เชิดล้มลงด้านหลังเสียงดังดึง ทำให้ทุกคนในห้องต้องหยุดทำกิจกรรมที่ทำอยู่ชั่วคราว เจ้เนเน่ไม่ต้องการให้ลูกตกใจจึงบอกกับลูกว่า “เขาถ่ายหนังกันอีกแล้วล่ะลูก เล่นกันต่อไปไม่ต้องสนใจ”
ไอ้พี่เชิดลุกขึ้นยืนแล้วพูดแก้ตัวกับจารุกรว่า “จะขอไปเข้าห้องน้ำหน่อย”
จารุกรตอบว่า “ห้องน้ำอยู่ทางโน้น” พลางชี้ไปทางป้ายสุขาชายหน้าห้องน้ำ
ไอ้พี่เชิดทำท่าเดินไปทางที่จารุกรบอก แล้วก็หันกลับมาพร้อมปืนจ่อมาที่ตัวจารุกร ลองยิงดูอีกสักครั้งเผื่อคราวนี้จะยิงออก แต่ผลคือเหมือนเดิมคือยิงไม่ออก ไอ้พี่เชิดรู้สึกขัดใจอย่างที่สุด ขว้างปืนไปหมายจะให้โดนหัวจารุกร จารุกรมองดูปืนที่ลอยมาแล้วก็บังคับให้ปืนหมุนแบบบูมเมอแรง กลับไปทางไอ้พี่เชิด ไอ้พี่เชิดวิ่งหนี เจ้าปืนบูมเมอแรงก็ยังตามมา ไอ้พี่เชิดวิ่งวนหนีจนเหนื่อยหอบ จนในที่สุดหมดแรงหยุดวิ่ง บอกยอมแพ้ บูมเมอแรงรุ่นพิเศษจึงตกลงไปที่พื้น
ครอบครัวนายมะห่ำถูกช่วยออกมา ลูก 2 คน พอเจอหน้าพ่อก็ถามว่า “พ่อ เขาถ่ายหนังกัน เสร็จหรือยัง”
มะห่ำตอบว่า “ยังจ้ะลูก ยังเหลืออีกนิดหน่อย” พูดจบก็กอดลูกทั้งสองคนอย่างแน่นแล้วก็หอมแก้มลูกๆ เจ๊เนเน่เดินตามเช้ามาร่วมวงกอดและหอมแก้มด้วยอีกคน